นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 66 บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้ 10,000 ล้านบาท เท่ากับปี 62 ก่อนเกิดโควิด แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายตั๋วหนัง 5,000 ล้านบาท และธุรกิจจำหน่ายป๊อปคอร์น 5,000 ล้านบาท โดยจะให้ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ที่ปัจจุบันเมเจอร์ถือหุ้นในสัดส่วน 10% เป็นผู้ผลิต พร้อมกับช่วยขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นทั้งในเซเว่นอีเลฟเว่น และในตลาดต่างประเทศ รวมไปถึงร้านโชห่วยทั่วไปที่สาหร่ายเข้าไปขายอยู่จากปัจจุบัน ขายช่องทางดิลิเวอรี่ เมเจอร์มอลล์คำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อตทุกค่ายไม่ต้องสมัคร
ขณะเดียวกันจะใช้เงินลงทุน 800-1,000 ล้านบาท ขยายโรงภาพยนตร์ 13 สาขา 49 โรง, โบว์ลิ่ง 3 สาขา 40 เลน และคาราโอเกะ 30 ห้อง รวมถึงปรับปรุงโรงภาพยนตร์ และอื่นๆ จากปัจจุบันที่มีสาขาโรงภาพยนตร์ที่เปิดให้บริการแล้วทั้งสิ้น 180 สาขา 839 โรง และ 188,973 ที่นั่ง, สาขาโบว์ลิ่ง 8 สาขา 210 เลน, คาราโอเกะ 121 ห้อง, ห้องแพลทินัม 9 ห้อง
นอกจากนี้ จะเน้นสร้างประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ สนับสนุนหนังไทย ให้เป็นซอฟต์เพาเวอร์รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้รวมของตลาดหนังไทยให้ได้ 50% เท่าหนังฮอลลีวูด ซึ่งปีนี้อยู่ที่ 30% จากทั้งหมด 40 เรื่องที่เข้าโรงฉาย และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40% โดยปีหน้าเมเจอร์ตั้งเป้าผลิตหนังไทยไม่ต่ำกว่า 10-15 เรื่องคำพูดจาก ทดลองเล่น
อย่างไรก็ตาม ปี 65 นี้ คาดว่ามีรายได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% ของรายได้ในปี 62 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 10,822.47 ล้านบาท ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายลงแล้ว ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มกลับเข้าโรงภาพยนตร์มากขึ้น และในช่วงไตรมาส 4 เป็นไฮซีซั่นของธุรกิจด้วย